เพื่อการอยู่อาศัยที่สบายอย่างยั่งยืนในเขตร้อน 

การออกแบบบ้านในเขตร้อนชื้น เช่น ประเทศไทย นอกจากความสวยงามและฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้งานแล้ว “ความสบาย” (thermal comfort) เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพภูมิอากาศที่มีอุณหภูมิสูงเกือบตลอดปี การรับลมธรรมชาติเข้าสู่ภายในบ้านอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยลดความร้อน เพิ่มการระบายอากาศ และประหยัดพลังงานจากการใช้เครื่องปรับอากาศได้อย่างมีนัยสำคัญ 

ความสำคัญของลมธรรมชาติในงานออกแบบบ้าน 

ลมธรรมชาติไม่เพียงให้ความรู้สึกเย็นสบาย แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญในด้านสุขภาวะและความประหยัดพลังงาน กล่าวคือ 

  • ช่วยระบายอากาศเสีย และลดความชื้นภายในบ้าน 
  • ส่งเสริมสุขอนามัย ลดการสะสมของเชื้อรา กลิ่นอับ และสารระเหยจากเฟอร์นิเจอร์ 
  • ช่วยประหยัดไฟฟ้าโดยลดการพึ่งพาเครื่องปรับอากาศหรือพัดลม 
  • ส่งเสริมสุขภาพจิตผ่านสภาวะแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ 

หลักการเคลื่อนที่ของลม : ความรู้พื้นฐานสำหรับผู้ออกแบบ 

การเคลื่อนที่ของลมเกิดจากความแตกต่างของอุณหภูมิ และความดันอากาศ อากาศร้อนจะลอยตัวสูงขึ้น ขณะที่อากาศเย็นจะเคลื่อนที่เข้ามาแทนที่ในแนวราบ หากบ้านถูกออกแบบให้รองรับการเคลื่อนที่ของลมตามธรรมชาติได้ดี บ้านหลังนั้นจะเย็นสบายโดยไม่ต้องพึ่งพาเครื่องปรับอากาศมากนัก 

ลมหลักที่พัดผ่านประเทศไทย 

  1. ลมตะวันออกเฉียงเหนือ (ลมหนาว) : ช่วงเดือน พ.ย. – ก.พ. 
  1. ลมตะวันตกเฉียงใต้ (ลมร้อน) : ช่วงเดือน พ.ค. – ก.ย. 

โดยรวมแล้ว ประเทศไทยได้รับลมจากทาง “ใต้และตะวันตกเฉียงใต้” มากที่สุดตลอดปี บ้านที่หันด้านรับลมเหล่านี้จึงมีโอกาสได้รับลมเย็นมากกว่า 

องค์ประกอบในการออกแบบบ้านให้รับลมธรรมชาติ 

1. ทิศทางของบ้าน 

การวางแนวอาคารมีความสำคัญอย่างยิ่งในการรับลม 

  • บ้านควรหันหน้าไปทางทิศใต้ หรือเฉียงไปทางตะวันตกเฉียงใต้ เพื่อรับลมได้เกือบตลอดทั้งปี 
  • หลีกเลี่ยงการวางตัวบ้านให้บังทางเดินลม หรือสร้างบ้านหลังอื่นบังลมของกันและกัน 

2. ช่องเปิด (Openings) 

ช่องเปิด เช่น หน้าต่าง ประตู บานระบายอากาศ มีบทบาทสำคัญในการนำลมเข้าสู่ภายในบ้าน 

  • ขนาดของช่องเปิดควรมีสัดส่วนที่เหมาะสม (แนะนำให้มีขนาดรวมอย่างน้อย 20-30% ของพื้นที่ผนัง) 
  • ควรมีช่องเปิดฝั่งตรงข้ามกัน เพื่อให้เกิดการไหลเวียนของลม (Cross Ventilation) 
  • การใช้บานเกล็ด บานเลื่อน หรือบานเปิด สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายอากาศได้มากกว่าหน้าต่างตาย (Fixed Window) 

3. ช่องลมร้อน (Ventilation Outlet) 

  • ลมร้อนจะลอยขึ้นด้านบน จึงควรออกแบบให้มีช่องระบายลมร้อน เช่น ช่องลมเหนือหน้าต่าง ช่องใต้หลังคา หรือช่องที่เพดาน (ventilation louver) 
  • การทำฝ้าสูง (high ceiling) หรือมีช่องเปิดด้านบนจะช่วยให้ลมร้อนระบายออกได้ดีขึ้น 

4. การจัดวางพื้นที่ใช้สอย 

  • พื้นที่ที่ใช้งานประจำ เช่น ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ควรอยู่ในจุดที่ได้รับลม 
  • ห้องน้ำ ห้องครัว หรือพื้นที่ที่เกิดกลิ่น ควรมีช่องลมเฉพาะ เพื่อระบายอากาศออกจากบ้าน 

5. การจัดภูมิทัศน์ภายนอก 

  • พื้นที่สีเขียว เช่น สนามหญ้า บ่อน้ำ ต้นไม้ ช่วยลดอุณหภูมิและเพิ่มความชื้นในอากาศ ทำให้ลมที่พัดเข้าสู่บ้านเย็นลง 
  • หลีกเลี่ยงการวางลานคอนกรีต หรือแหล่งความร้อนอย่างคอมเพรสเซอร์แอร์บริเวณด้านรับลมของบ้าน 

6. การออกแบบหลังคาและชายคา 

  • ชายคาที่ยื่นออกมาเพียงพอช่วยลดการตากแดดของผนังและเปิดโอกาสให้สามารถเปิดหน้าต่างรับลมได้ตลอดวัน 
  • การออกแบบหลังคาให้มีช่องระบายอากาศ เช่น ช่องลมใต้จั่ว หรือการใช้หลังคาระบายความร้อน จะช่วยลดความร้อนสะสมในโครงสร้างหลังคา 

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้ในบ้านจริง 

บ้านในพื้นที่เมือง 

  • อาจมีข้อจำกัดเรื่องที่ดินและทิศทาง จึงต้องอาศัยการจัดวางช่องเปิด ประตูหน้าต่าง และการจัดสวนเพื่อสร้างลมจากการไหลเวียนของอากาศภายใน 

ติดตามพวกเราได้อีกช่องทางที่ เพจเฟซบุ๊ค : WENAT รับตรวจบ้าน ตรวจคอนโด รับตรวจสอบอาคาร

อยากรู้จักเรา : เกี่ยวกับเรา

โปรโมชั่นดีๆจาก Wenat

โปรโมชั่นลด 1,000.- บาท Wenat
โปรโมชั่นลด 800.- บาท Wenat
โปรโมชั่นลดตรวจฟรีรอบสอง Wenat

บทความที่เกี่ยวข้อง